ฉันดีกว่าเดิม
มุ่งสร้างนิสัยเชิงบวก
หมั่นพัฒนาตนเอง
เน้นความสุขและศักยภาพคน
คนเรา 'สามารถ' เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้เสมอ
มุ่งสร้างนิสัยเชิงบวก
หมั่นพัฒนาตนเอง
เน้นความสุขและศักยภาพคน
คนเรา 'สามารถ' เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้เสมอ
Science Says Lasting Relationships Come Down To 2 Basic Traits Credit : EMILY ESFAHANI SMITH, The Atlantic http://www.businessinsider.com/lasting-relationships-rely-on-2-traits-2014-11 คู่รักส่วนใหญ่ มีระดับความพึงพอใจต่อกันลดลงฮวบฮาบในช่วงไม่กี่ปีแรก แต่ท่ามกลางคู่ร้างมากมาย ก็มีบางคู่ที่อยู่รอดและได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างมีความสุขยาวนานปีแล้วปีเล่า "ความเอื้ออารี" และ "ใส่ใจรับฟัง" ผูกพันคู่รักไว้ และนำพาทั้งคู่เดินไปด้วยกัน วิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ยั่งยืนอาศัย 2 ปัจจัยพื้นฐาน คุณลองเดาดู –เอื้ออารี และ ใส่ใจรับฟัง ทุกวันของเดือนมิถุนายน เดือนสละโสดประจำปี ประมาณ 13,000 คู่รักอเมริกัน เข้าพิธีวิวาห์ อบอวลไปด้วยมิตรภาพ ความรักชื่นมื่น ความรู้สึกมีกันและกันจะพาพวกเขาจับมือเผชิญสิ่งต่างๆ ด้วยกัน จวบจนวันสุดท้ายบนโลกนี้ แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ได้สมหวังกันทุกคู่นะคะ ชีวิตแต่งงานพบความล้มเหลวมากกว่าสมหวัง ถ้าไม่จบลงที่หย่าร้าง แยกกันอยู่ ก็อาจจะเฉยชาต่อกัน หรือทนอยู่ด้วยความขมขื่น จากคู่แต่งงานทั้งหมด มีเพียง 3 ใน 10 เท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตแต่งงานอบอุ่นสุขใจ จากหนังสือ The Science of Happily Ever After ของนักจิตวิทยา Ty Tashiro นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษา สังเกตพฤติกรรมของคู่แต่งงานครั้งแรกช่วงทศวรรษ 1970 การศึกษาเกิดขึ้นมาตอบสนองวิกฤต: คู่สมรสมีอัตราการหย่าร้างสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และมีความกังวลว่าการหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยกจะส่งผลกระทบต่อเด็กๆ นักจิตวิทยาจึงตัดสินใจคัดเลือกคู่สมรสมาวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ พาพวกเขาเข้าแลปและคอยสังเกตพวกเขา เพื่อหาปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงยั่งยืน นักจิตวิทยา John Gottman เป็นหนึ่งในนักวิจัยด้านนี้ 4 ทศวรรษที่เขาได้ศึกษาคู่แต่งงานเป็นพันๆ คู่ ค้นหาปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์เวิร์ค เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้มีโอกาสสัมภาษณ์ทั้ง Gottman และภรรยาของเขา Julie ซึ่งก็เป็นนักจิตวิทยาด้วยเหมือนกัน ในมหานครนิวยอร์ค ทั้งคู่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงในชีวิตคู่ ดูแลดำเนินงานสถาบัน Gottman ซึ่งเป็นสถาบันที่จะช่วยคู่แต่งงานสร้างและบำรุงรักษาสัมพันธ์รักให้แข็งแรงบนพื้นฐานงานวิจัยวิทยาศาสตร์
John Gottman เริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลปัจจัยสำคัญๆ ตั้งแต่ปี 1986 เมื่อเขาจัดตั้ง “Love Lab” กับเพื่อนร่วมงาน Robert Levenson ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน Gottman และ Levenson ก็นำคู่แต่งงานป้ายแดงเข้าแลป และเฝ้าดูปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา ทีมนักวิจัยพาคู่แต่งงานมาติดตัววัดสัญญาณชีพ และขอให้คู่แต่งงานพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา เช่นพวกเขาเจอกันได้อย่างไร ความขัดแย้งหลักๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากันมีอะไรบ้าง ความทรงจำดีๆ ต่อกันคืออะไร และขณะที่พวกเขากำลังเล่าเรื่องราว เครื่องวัดสัญญาณชีพก็จะตรวจจับความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณเหงื่อ จากนั้นนักวิจัยก็จะส่งคู่แต่งงานกลับบ้าน และติดตามพฤติกรรมต่อไปอีก 6 ปี ดูว่าพวกเขาจะยังอยู่ด้วยกันไหม จากข้อมูลที่นักวิจัยรวบรวมมาได้ Gottman แยกคู่แต่งงานออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มรักเป็น และ กลุ่มช้ำรัก กลุ่มรักเป็นจะยังคงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขหลังจาก 6 ปีผ่านไป แต่กลุ่มช้ำรักจะเลิกรากัน หรือไม่ก็ชินชาอยู่กันไปแบบไร้สุข เมื่อนักวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลที่พวกเขารวบรวมมาจากคู่แต่งงาน พวกเขาเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มรักเป็นกับกลุ่มช้ำรัก กลุ่มช้ำรักแม้จะดูสงบเสงี่ยมเหมือนไม่มีอะไรในระหว่างการสัมภาษณ์ แต่ทางกายภาพซึ่งวัดโดยเครื่องวัดสัญญาณชีพกลับบอกเรื่องที่ต่างไป หัวใจเต้นเร็ว มีเหงื่อซึม เลือดสูบฉีดเร็ว เมื่อติดตามผลคู่แต่งงานเป็นพันๆ คู่ในระยะยาว Gottman พบว่ายิ่งพบสัญญาณชีพตื่นตัวมากเท่าไร ความสัมพันธ์ก็ยิ่งทรุดโทรมเร็วขึ้น แล้วจิตวิทยาจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง? ปัญหาก็คือในความสัมพันธ์ของคู่ช้ำรัก พวกเขาแสดงสัญญาณชีพของคนที่กำลังถูกโจมตี เป็นสัญญาณชีพของคนที่อยู่ในสภาวะเตรียมสู้กลับ กำลังคุยถึงคู่รักที่นั่งข้างๆ กัน แต่เมื่อวัดสัญญาณชีพทางร่างกาย ผลออกมาเหมือนคนที่ตื่นตระหนกผวา คล้ายกับคนที่กำลังเจอเสือร้ายจ้องหวังขย้ำให้จมเขี้ยว ถึงแม้ว่าคู่ช้ำรักจะกำลังพูดถึงความพึงใจและด้านที่เป็นวิสัยปกติของความสัมพันธ์ พวกเขาก็ยังเตรียมพร้อมโจมตีและเตรียมป้องกันตัว ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเต้นถี่เร็วขึ้น และทำให้พวกเขายิ่งก้าวร้าวกับอีกฝ่ายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น คนหนึ่งอาจจะกำลังเล่าว่าทั้งคู่เจอะเจออะไรมาบ้าง เกิดไปกระตุกอารมณ์ฉุนเฉียวของอีกฝ่าย สามีอาจจะพูดเหวี่ยงใส่ภรรยาว่า “ทำไมคุณไม่พูดถึงเรื่องของคุณบ้าง ใช้เวลาไม่นานหรอก” กลุ่มรักเป็น จะมีลักษณะตรงกันข้าม สัญญาณชีพของพวกเขาจะเรียบๆ ไม่หวือหวา พวกเขารู้สึกสงบและผูกพันกัน กลายเป็นพฤติกรรมรักใคร่อบอุ่น แม้ว่าเมื่อตอนที่พวกเขามีปากเสียงกัน คู่รักเป็นก็ไม่ได้มีสัญญาณชีพดีกว่าคู่ช้ำรัก แต่เพราะคู่รักเป็นได้สร้างความสนิทใจกันมาแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกสบายอกสบายใจต่อกันมากกว่า Gottman อยากจะรู้มากขึ้นว่ากลุ่มคู่รักเป็นสร้างวัฒนธรรมความรักความสนิทใจกันขึ้นมาได้อย่างไร และระยะฟักตัวของกลุ่มช้ำรักเป็นอย่างไร พวกเขามาถึงจุดแตกหักได้อย่างไร การศึกษาติดตามพฤติกรรมในปี 1990 เขาออกแบบห้องแลปในมหาวิทยาลัยวอชิงตันให้กลายเป็นห้องพักสวยสงบ บรรยากาศเจริญใจ เขาเชิญ 130 คู่รักป้ายแดงมาเข้าพัก และเฝ้าดูพฤติกรรมปกติของพวกเขา คู่รักอยู่ด้วยกันทำตัวไม่ต่างจากตอนที่พวกเขากำลังพักร้อน ทำกับข้าว ทำความสะอาด ฟังเพลง กิน คุยเรื่อยเปื่อย และ Gottman พบปัจจัยสำคัญจากการศึกษานี้ –ปัจจัยหนึ่งในนั้นเป็นหัวใจหลักว่าทำไมบางความสัมพันธ์จึงเจริญขึ้น ในขณะที่อีกความสัมพันธ์กลับถดถอย ตลอดวันพักร้อน คู่รักคนหนึ่งจะส่งสัญญาณขอติดต่อกับอีกคนหนึ่ง ซึ่ง Gottman เรียกว่า “bid –ข้อเสนอ” เช่น สามีเห็นนกกำลังบินลงมาที่สนามหญ้า เขาอาจจะพูดกับภรรยาว่า “ดูนกนั่นซิ! สวยแปลกๆ” เขาไม่ได้แค่พูดถึงนกตัวนั้น แต่เขากำลังส่งสัญญาณขอการตอบสนองจากภรรยาของเขา –สัญญาณขอความสนใจหรือขอการสนับสนุน –หวังว่าพวกเขาจะต่อกันติด แต่เหตุการณ์นี้มีอะไรมากกว่านกแน่ๆ ตอนนี้ภรรยามีทางเลือก เธอจะเลือก “หันหน้าเข้าหา” หรือ “หันหน้าหนี” จากสามีของเธอ อย่างที่ Gottman เรียกว่า “ขอเสนอนกๆ” (bird-bid) อาจจะดูเล็กน้อยไม่มีสาระอะไร แต่มันจะเผยความจริงได้มากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ สามีคิดว่านกสำคัญพอที่จะยกมาคุยกัน แต่คำถามก็คือภรรยาตระหนักและเคารพความคิดนี้ไหม ในการศึกษานี้คนที่หันหน้าเข้าหาคู่รัก คนที่เลือกตอบสนองกำลังเพิ่มความผูกพันกับผู้ยื่นข้อเสนอนกๆ แสดงความสนใจและสนับสนุนข้อเสนอนั้น ส่วนคนที่หันหน้าหนี เลือกไม่ตอบสนอง หรือตอบสนองน้อยมาก และยังคงทำอะไรก็ตามที่พวกเขากำลังทำอยู่ เช่นดูทีวี หรืออ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป บางครั้งพวกเขาก็จะตอบสนองโจ่งแจ้งไม่เกรงใจ เช่นพูดว่า “หยุดได้แล้ว ฉันจะอ่านหนังสือ” การตอบสนองต่อข้อเสนอเหล่านี้มีผลหยั่งลึกต่ออารมณ์ความรู้สึกของคู่แต่งงาน คู่รักที่หย่าร้างภายหลังติดตามผลอยู่ 6 ปี จะหันหน้าเข้าหา 33% ของข้อเสนอ มีเพียง 3 ใน 10 ของข้อเสนอที่พาให้รู้สึกสนิทใจกัน คู่รักที่ยังคงอยู่ด้วยกันหลังจาก 6 ปีผ่านไป จะหันหน้าเข้าหา 87% ของข้อเสนอ 9 จาก 10 ครั้ง ที่ได้เติมเต็มความต้องการเชิงอารมณ์ จากการสังเกตลักษณะการตอบโต้ Gottman สามารถทำนายได้แม่นยำถึง 94% ไม่ว่าจะเป็นคู่รักต่างเพศหรือเพศเดียวกัน รวยหรือจน มีบุตรหรือไม่มีบุตร –จะเลิกรากัน จะทนอยู่กันไป หรือจะอยู่ด้วยกันมีความสุขไปอีก 5-6 ปี มีอะไรในความสัมพันธ์ของคู่รัก พวกเขามีความเอื้ออารีและใส่ใจรับฟังกัน หรือดูถูก ตำหนิ และ ไม่เป็นมิตรต่อกัน? “กลุ่มรักเป็นจะมีจิตใจ” Gottman อธิบายในระหว่างสัมภาษณ์ “มีนิสัยช่างสำรวจ มองหาสิ่งที่พวกเขาสามารถชื่นชมและจะกล่าวขอบคุณสิ่งนั้น พวกเขาจะสร้างวัฒนธรรมของการเคารพและให้เกียรติกัน กลุ่มช้ำรักจะสำรวจหาข้อด้อยของคู่รัก” “มันไม่ใช่แค่นั้น” Julie Gottman พูดบ้าง “คู่ช้ำรักจะสำรวจคู่ของตัวเองว่าทำอะไรถูก อะไรผิด และตำหนิ แทนที่จะเคารพและแสดงความชื่นชมเขา” ตำหนิ ดูถูก เหยียดหยามเมื่อพวกเขาสบโอกาส นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉีกคู่รักให้ขาดวิ่น คนที่ถูกเล็งว่าด้อยค่า คู่รักของพวกเขากำลังพลาด 50% ดีๆ ที่พวกเขามี และที่พลาดมโหฬารก็คือเพ่งเล็งเรื่องลบๆ ที่ไม่ได้มีอยู่ ณ ขณะนั้น คนที่เฉยชากับคู่รัก –จงใจเพิกเฉยคู่รัก หรือตอบสนองนิดหน่อย –ทำร้ายความสัมพันธ์โดยทำให้คู่รักรู้สึกไร้ค่าไม่มีตัวตน ราวกับว่าเค้าไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่มีคุณค่า และคนที่ดูถูก/ตำหนิคู่รัก พวกเขาไม่ใช่แค่ฆ่าความรักเท่านั้น พวกเขายังฆ่าความสามารถในการต่อสู้กับโรคภัยของคู่รักอีกด้วย ความใจแคบเป็นเหมือนยมทูตเข้ามาประหารความสัมพันธ์ ความเอื้ออารี อีกด้านหนึ่ง เป็นกาวยึดคู่รักไว้ด้วยกัน งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเอื้ออารี (ที่มาพร้อมกับอารมณ์มั่นคง) เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในชีวิตแต่งงานที่มีความสุขมั่นคง ความเอื้ออารีทำให้คู่รักต่างรู้สึกได้รับความใส่ใจ/ความเข้าใจ มีคุณค่า –รู้สึกอบอุ่น เป็นที่รัก “ความเอื้ออารีของฉันนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต” จูเลียตของเชคสเปียร์ พูดต่อ “ความรักของฉันลึกล้ำ; ยิ่งฉันให้ความรัก ฉันกลับยิ่งมีความรักมากมายไม่สิ้นสุด” นั่นแหละคือความเอื้ออารี มีหลักฐานจำนวนมากแสดงให้เห็นว่ายิ่งได้รับความเอื้ออารี พวกเขาจะยิ่งเมตตาตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะพาความรักความสัมพันธ์งอกงาม ความเอื้ออารีคิดได้ 2 แบบ แบบที่หนึ่งคุณจะคิดว่าเป็นสันดานที่คุณมีหรือคุณไม่มี หรือแบบที่ 2 คุณจะคิดว่าความเอื้ออารีเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ ในบางคนจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าคนอื่น แต่ทุกคนสามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อได้ด้วยการออกกำลังกาย กลุ่มรักเป็นมักจะคิดว่าความเอื้ออารีเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องออกกำลังและรักษารูปร่างของมันไว้ หรือพูดอีกอย่างว่า ความสัมพันธ์ที่ดีต้องใส่ใจสม่ำเสมอ “ถ้าคู่ของคุณแสดงความต้องการหนึ่ง” Julie Gottman กล่าว “และคุณเหนื่อย เครียด หรืออารมณ์ไม่ดี นั่นเป็นโอกาสของการใส่ใจรับฟัง เมื่อคู่ของคุณยื่นข้อเสนอหนึ่ง (bid) แต่คุณยังคงหันหน้าเข้าหาคู่ของคุณ” ในจังหวะนั้น การตอบสนองง่ายๆ อาจจะเป็นหันหน้าหนีออกจากคู่ และจดจ่ออยู่กับ ipad หนังสือ หรือทีวี ส่งเสียง “อืมมม” และดำเนินชีวิตของคุณต่อไป แต่การละเลยที่จะเชื่อมอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ กับอีกฝ่าย จะค่อยๆ กัดกร่อนความสัมพันธ์ของคุณ ความไม่แยแสจะสร้างระยะห่างระหว่างคุณกับคู่ของคุณ และเพาะบ่มความขุ่นเคืองในตัวคนที่ถูกเพิกเฉย ช่วงที่ยากลำบากที่สุดของการฝึกความเอื้ออารี ตอบเลยว่า ช่วงที่ทะเลาะกัน –แต่ช่วงนี้ก็ถือเป็นช่วงที่สำคัญ การดูถูกและก้าวร้าวจนควบคุมไม่ได้ในระหว่างที่ขัดแย้งกัน จะสร้างบาดแผลร้าวลึกในความสัมพันธ์ “ความเอื้ออารีไม่ได้หมายความว่าห้ามแสดงความโกรธ” Julie Gottman อธิบาย “แต่ความเอื้ออารีจะบอกให้เราเลือกวิธีแสดงความโกรธ คุณจะแทงหอกใส่คู่ของคุณ หรือคุณจะอธิบายว่าทำไมคุณถึงเจ็บปวดและโมโห และนี่คือเส้นทางเพิ่มความเอื้ออารีให้เข้มแข็ง” John Gottman สาธยายหอกต่างๆ “กลุ่มช้ำรักจะใช้คำพูดที่แตกต่างจากกลุ่มรักเป็นในช่วงทะเลาะกัน กลุ่มช้ำรักจะพูดว่า ‘คุณมาสาย เป็นอะไรอีกล่ะ? คุณนี่เหมือนแม่คุณไม่มีผิด’ กลุ่มรักเป็นจะพูดว่า ‘ฉันเซ็งที่คุณมาสาย ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดคุณ แต่มันทำให้อารมณ์เสียจริงๆ ที่คุณมาสายอีกแล้ว’ " สำหรับหลายร้อยคู่รักที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ในเดือนมิถุนายน –และอีกหลายล้านคู่ที่กำลังอยู่ด้วยกัน ณ ตอนนี้ –บทเรียนจากงานวิจัยให้ความกระจ่าง ถ้าคุณอยากจะมีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงมั่นคง จงหมั่นออกกำลังความเอื้ออารีโดยด่วนและสม่ำเสมอด้วย เมื่อคิดถึงการฝึกความเอื้ออารี พวกเขามักจะคิดถึงความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ เช่น ซื้อของโปรดมาเอาใจ หรือนวดหลังให้ ความเอื้ออารีเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของความรักที่มั่นคง ผ่านทางความสัมพันธ์คู่รักจะแสดงปฏิสัมพันธ์ต่อกันทุกวัน ไม่ใช่แค่การนวดหลังให้หรือมีช็อกโกแลตมาฝากหรือไม่ ฝึกความเอื้ออารีด้วยการเอาใจใส่เจตจำนงของอีกฝ่าย จากงานวิจัยของ Gottman เรารู้ว่ากลุ่มช้ำรักจะเพ่งเล็งเรื่องลบๆ ในความสัมพันธ์ถึงแม้ว่าจะไม่มีเรื่องลบๆ นั้นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น ภรรยาที่โกรธเกรี้ยวอาจจะสรุปไปเองว่า สามีออกจากห้องน้ำแล้วลืมเอาฝาที่นั่งลง เขาตั้งใจทำให้เธออารมณ์เสีย ทั้งๆ ที่เขาก็แค่เผลอเลอลืมเอาลง หรือกรณีลองคิดถึงภรรยากำลังมาดินเนอร์สาย (อีกแล้ว) และสามีก็สรุปเอาเองว่าเธอไม่ให้ความสำคัญกับเขามากพอที่จะมาให้ทันเวลา เขาต้องตะเกียกตะกายจองที่นั่ง เลิกงานเร็วกว่ากำหนด เพื่อจะได้มีเวลาโรแมนติกช่วงค่ำด้วยกัน แต่ที่ภรรยามาสาย เพราะว่าเธอแวะหาซื้อของขวัญให้สมกับคืนพิเศษคนพิเศษ จินตนาการต่อว่าเธอกำลังดินเนอร์กับเขา ตื่นเต้นที่จะได้มอบของขวัญ แต่ก็เห็นเขาทำหน้าบึ้งอารมณ์บูด เขาตีความว่าเธอมาสายเพราะเขาไม่สำคัญ การตีความการกระทำและเจตนาของคู่รักด้วยความเมตตา สามารถลบขอบคมความขัดแย้ง ลดความบาดหมางต่อกันลงได้ “ถ้าดูความสัมพันธ์ที่คนหงุดหงิด เกือบทุกกรณีมีสิ่งบวกๆ เกิดขึ้นและอีกฝ่ายก็พยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ถูกใจ” นักจิตวิทยา Ty Tashiro บอกฉัน “หลายครั้งมาก ที่คู่รักพยายามทำสิ่งที่อีกฝ่ายจะอารมณ์ดีขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะออกมาไม่ถูกใจนักก็ตาม จงชื่นชมเจตนา เขาอยากให้คุณรู้สึกดี” กลยุทธ์ความเอื้ออารีที่ทรงพลังอีกกลยุทธ์หนึ่ง ทำตัววนเวียนอยู่กับการแบ่งปันความรื่นรมย์สุขใจ หนึ่งในสัญญาณบ่งชี้คู่ช้ำรักที่ Gottman ศึกษามาพบว่า พวกเขาไร้ความสามารถในการเชื่อมต่อกับข่าวดีของอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อฝ่ายหนึ่งเล่าข่าวดีด้วยความตื่นเต้น เช่น ได้เลื่อนตำแหน่ง อีกฝ่ายตอบสนองเหมือนท่อนไม้ไร้อารมณ์ ดูนาฬิกาข้อมือ หรือปิดบทสนทนาด้วยเสียงเรียบๆ “อืม ก็ดีนี่” เราได้ยินมาตลอดว่าคู่รักควรอยู่เคียงข้างกันในยามตกทุกข์ได้ยาก แต่งานวิจัยเผยให้เห็นว่า อยู่เคียงข้างกันในยามที่สิ่งต่างๆ กำลังดำเนินไปถูกทิศ ให้ความสำคัญมากขึ้นกับสิ่งที่จะเพิ่มคุณภาพความสัมพันธ์ จะตอบสนองต่อข่าวดีของอีกฝ่ายอย่างไรมีผลต่อความสัมพันธ์เชิงอารมณ์ความผูกพัน หนึ่งในงานวิจัยเมื่อปี 2006 นักวิจัยด้านจิตวิทยา Shelly Gable และเพื่อนร่วมวิจัยนำคู่รักเข้าห้องทดลอง เพื่อพูดคุยหาเหตุการณ์ด้านบวกจากชีวิตของพวกเขา นักจิตวิทยาอยากจะรู้ว่าคู่รักจะตอบสนองต่อข่าวดีของอีกฝ่ายอย่างไร พวกเขาพบว่าโดยทั่วไปคู่รักจะตอบสนองข่าวดีของอีกฝ่าย 4 ลักษณะ พวกเขาเรียกว่า ทำลายทางอ้อม, ยินดีทางอ้อม, ทำลายตรงๆ, ร่วมดีใจด้วย สมมติว่าคู่รักคนหนึ่งได้รับข่าวดีมาก เธอได้เข้าเรียนแพทย์ เธออาจจะพูด “ฉันสอบติดได้เรียนหมอในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง!” ถ้าอีกฝ่ายตอบสนองแบบทำลายทางอ้อม เขาจะเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ เช่น เขาอาจจะพูดกลับไปว่า “คุณจะต้องไม่เชื่อแน่เลยว่า ผมก็มีข่าวดีสุดๆ เหมือนกัน! เมื่อวานผมชนะรางวัลได้เสื้อยืด 1 ตัว!” ถ้าคู่ของเธอตอบสนองแบบยินดีอ้อมๆ เขาจะยินดีกับข่าวดี แต่ไม่ได้เทใจนัก ยินดีทางอ้อมอาจจะพูดว่า “เยี่ยมเลย ที่รัก” ขณะที่กำลังส่งข้อความถึงเพื่อนที่ทำงาน การตอบสนองแบบที่ 3 ทำลายตรงๆ อีกฝ่ายจะลดค่ากดราคาข่าวดีของคู่รัก “คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจะเรียนจบ? มีเงินพอจ่ายค่าเทอมเหรอ? เรียนหมอค่าเทอมแพงนะ!” สุดท้าย ตอบสนองแบบร่วมดีใจด้วย ถ้าอีกฝ่ายตอบสนองลักษณะนี้ เขาจะหยุดทำอะไรก็ตามที่เขากำลังทำอยู่ และเข้ามาดีใจกับเธอด้วย “เยี่ยมสุดๆ! ยินดีด้วย ที่รัก! คุณรู้ข่าวเมื่อไร? พวกเขาโทรมาบอกคุณเหรอ? คลาสแรกคุณเรียนอะไร?” ทั้ง 4 สไตล์การตอบสนอง ร่วมดีใจด้วยเป็นความเอื้ออารีที่สุด ขณะที่การตอบสนองอื่นๆ เป็นเหมือนนักฆ่าหน้าหยก แสดงความดีใจด้วยเป็นการยินยอมให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสชาติความสุขอิ่มเอมใจ และให้โอกาสได้ผูกอารมณ์กับข่าวดี สำนวนของ Gottman แสดงความดีใจด้วย ก็คือ “หันหน้าเข้าหา” ข้อเสนอของคู่คุณ (แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ต่อกัน) แทนการ “หันหน้าหนี” แสดงความดีใจด้วยสำคัญยิ่งยวดในการสานสัมพันธ์ให้แข็งแรง ในปี 2006 Gable และเพื่อนร่วมงานวิจัยของเธอ ติดตามผลคู่รักอีก 2 เดือน และดูว่าพวกเขายังอยู่ด้วยกันไหม? นักจิตวิทยาพบว่า ความแตกต่างเดียวที่คู่รักจะยังคงอยู่ด้วยกัน ไม่แตกหักร้างรากันไป ก็คือ การทำลายตรงๆ คู่รักที่ร่วมดีใจกับความสุขของอีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะอยู่ด้วยกันยืนนานกว่า ในการศึกษาล่าสุด Gable พบว่า ร่วมดีใจด้วยยังเชื่อมโยงกับคุณภาพความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นและเพิ่มความสนิทใจกัน มีหลายเหตุผลว่าทำไมความสัมพันธ์จึงล้มเหลว แต่ถ้าคุณมองหาตัวการที่ทำให้ความสัมพันธ์ตกต่ำ บ่อยครั้ง ความเอื้ออารี คือสิ่งที่คุณจะไม่พบ ความเครียดสะสมจากการใช้ชีวิตปกติด้วยกัน –เลี้ยงลูก, หน้าที่การงาน, เพื่อน, ญาติๆ ของอีกฝ่าย และขาดเสน่ห์โรแมนติก –คู่รักอาจจะเติมความหวานน้อยลง พวกเขาตำหนิอีกฝ่าย ปล่อยให้ความระหองระแหงเล็กๆ ก่อตัว ฉีกพวกเขาออกจากกัน คู่รักส่วนใหญ่ มีระดับความพึงพอใจต่อกันลดลงฮวบฮาบในช่วงไม่กี่ปีแรก แต่ท่ามกลางคู่ร้างมากมาย ก็มีบางคู่ที่อยู่รอดและได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างมีความสุขยาวนานปีแล้วปีเล่า "ความเอื้ออารี" และ "ใส่ใจรับฟัง" ผูกพันคู่รักไว้ และนำพาทั้งคู่เดินไปด้วยกัน
0 Comments
Leave a Reply. |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
December 2019
Categories |