ฉันดีกว่าเดิม
มุ่งสร้างนิสัยเชิงบวก
หมั่นพัฒนาตนเอง
เน้นความสุขและศักยภาพคน
คนเรา 'สามารถ' เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้เสมอ
มุ่งสร้างนิสัยเชิงบวก
หมั่นพัฒนาตนเอง
เน้นความสุขและศักยภาพคน
คนเรา 'สามารถ' เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้เสมอ
คนที่มีทักษะในการจัดการความคิดที่ดี ก็จะสามารถดูแลใจตัวเอง จัดการตัวเองได้ดี ไปจนถึงสามารถที่จะใช้พลังชีวิตที่มีอยู่ในตัวเอง พาตัวเองเดินหน้าไปสู่จุดหมายได้อย่างยืดหยุ่นรื่นไหล ผมจะตอบคำถาม 3 ข้อใหญ่ๆ
โดยที่ผมใช้คำว่านิสัยขึ้นมาเพราะว่านิสัยมันเป็นเรื่องของความเคยชิน ถ้าเราทำอะไรจนเคยชินมันจะทำได้ง่ายขึ้น แต่เวลาที่เราทำอะไรใหม่ๆ ยังไม่เป็นนิสัยความเคยชิน เราจะยังไม่คล่อง ดังนั้นสิ่งที่เราคุยกันถ้าคุณค้นพบสิ่งใหม่ที่คุณอยากจะนำไปใช้กับชีวิตตัวเองดู ก็ขอให้ทราบว่าถ้าคุณใช้มันใหม่ๆ คุณจะยังไม่คล่องและยังจะเผลอกลับไปอยู่ในรูปแบบเดิม ตรงนั้นก็ไม่ต้องไปหงุดหงิดตัวเอง เป็นเรื่องปกติ เหมือนตอนที่คุณหัดขับรถยนต์ใหม่ๆ หัดขี่จักรยานใหม่ๆ หัดทำอะไรใหม่ๆ ทุกอย่าง คุณจะงุ่มง่าม คุณจะไม่ค่อยคล่องแคล่ว จนกระทั่งคุณได้ฝึกฝนให้นานเพียงพอ คุณก็จะคล่องแคล่วเอง นิสัยทางความคิดของคนก็เหมือนกัน ความคิดของคนมันก็มีเส้นวิ่งของมันที่เราใช้เป็นรูปแบบความเคยชินประจำตัว 6 รูปแบบความคิด คนที่คิดลบเป็นก็จะรอบคอบ คนที่คิดบวกได้ก็จะเห็นความเป็นไปได้ คนที่คิดด้วยความรู้สึกก็จะเข้าถึงจิตใจในส่วนลึก คนที่คิดด้วยข้อมูลและเหตุผลก็จะมีหลักฐานมาประกอบความคิดของตัวเอง ทุกๆ ความคิดรวมถึงความคิดสร้างสรรค์ ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น และเราควรจะเรียนรู้ที่จะฝึกความคิดในทุกรูปแบบ ที่จริงแล้วความคิดใดๆ ก็ตาม มันไม่ได้ ผิด/ถูก/ดี/เลว โดยตัวมันเอง แต่มันอยู่ตรงว่าเราหยิบมาใช้ในสถานการณ์ไหน หัวใจสำคัญก็คือ เราต้องรู้ว่าเรากำลังคิดด้วยวิธีไหนอยู่ แล้วหยิบชุดความคิดที่เป็นประโยชน์กับสถานการณ์นั้นมาใช้ การตั้งคำถามจะกำหนดวิธีคิดของคนเรา เราฝึกตั้งคำถามดีๆ ให้กับตัวเอง มันจะช่วยชี้นำ หรือนำร่องความคิดให้แก่เรา วิธีตั้งคำถามให้กับตัวเองจะเป็นการกำหนดความคิดของเรา เช่น ถ้าเราถามตัวเองว่า เรื่องนี้เราได้บทเรียนอะไร? เราก็จะคิดตามคำถามนั้นว่า มันมีบทเรียนอะไรให้เรา เรื่องนี้มีสิ่งอะไรดีๆ แฝงมาบ้าง? เราก็จะมองหาแง่ดี เหมือนอย่างกิจกรรมที่ผมแนะนำให้ทำประจำก็คือ วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต 5 อย่าง? การตั้งคำถามที่ดี จะเป็นตัวช่วยกำหนดเส้นทางความคิดเส้นใหม่ สวัสดีครับ ผมหมอประเวช เป็นจิตแพทย์ หัวข้อนี้ตั้งขึ้นมาจากการที่ผมพบว่าหลายคนที่ได้ฟังความรู้เรื่องการคิดบวกจากแหล่งต่างๆ มักจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนซึ่งก็คลาดเคลื่อนตั้งแต่คนรับ เช่น คนฟังทั่วไปไปจนถึงคนที่ออกมาพูดให้ความรู้ เพราะว่าขณะที่เรารับรู้กันว่าการคิดบวกเป็นเรื่องดีและมีประโยชน์ หลายคนก็ไม่รู้รายละเอียดว่าคิดบวกนั้นทำอย่างไร แล้วผลลบอย่างหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ มันทำให้คนจำนวนมากที่มีความคิดลบ คิดว่าตัวเองผิดปกติที่มีความคิดลบ ซึ่งที่จริงแล้วความคิดลบมันมีอยู่ในสัญชาตญาณของเราและมันก็ฝังอยู่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นตัวเรา มันมีประโยชน์ในเชิงการอยู่รอดด้วย สัปดาห์ที่แล้วก็ได้คุยกันในเรื่องของความวิตกกังวลว่าเราจะจัดการอย่างไร แล้วก็ได้คุยกันถึงการจัดการองค์ประกอบต่างๆ ของความกังวล ซึ่งก็เป็นต้นแบบของความคิดลบ ถ้าเราใช้ให้ถูกต้อง เราก็จะได้รับประโยชน์จากความคิดลบนั้น จากนั้นก็มีโจทย์เข้ามา มีคนเริ่มถามเข้ามาว่าแล้วตกลงคิดบวกนี่มันดียังไง มันดีจริงไหม แล้วเราจะจัดความลงตัวระหว่างความคิดบวกและความคิดลบได้อย่างไร ผมก็ได้สรุปข้อความออกมาสั้นๆ ว่า ฝึกคิดบวกให้มากขึ้นแต่ว่าอย่ารังเกียจความคิดลบในใจตัวเอง เพราะเราไม่มีทางกำจัดความคิดลบให้หมดไปจากหัวของเราได้ และที่สำคัญธรรมชาติของความคิดของเราก็คือ อะไรก็ตามที่เราไม่อยากคิดถึงมัน เรากลับจะยิ่งคิดถึงมัน ตัวอย่างนี้ก็เห็นได้ชัด เวลาคุณมีเรื่องที่ไม่อยากคิดถึง คุณพยายามจะกลบมัน พยายามจะไม่คิดถึงมัน คุณก็หวนกลับไปคิดถึงมันอยู่เสมอเพราะว่ายิ่งพยายามจะไม่คิดถึงอะไร ใจของเราก็พยายามกลับไปคิดถึงเรื่องนั้นมากขึ้น ทุกคนคงมีประสบการณ์ตรง ถ้าอ่านตามหนังสือทั่วไปเขาก็จะเขียนว่า อย่าคิดถึงช้างสีชมพู อย่าคิดถึงตัวนั้นตัวนี้ อย่าคิดถึงผี คุณก็จะเริ่มคิดถึง คุณไปอยู่ในที่เงียบๆ มืดๆ แล้วคุณก็บอกว่าอย่าคิดถึงผีนะ เอาล่ะครับ เดี๋ยวคุณจะเริ่มคิดถึงผีขึ้นมา แล้วความกลัวก็จะวิ่งตามมา อันนั้นเป็นเหตุหนึ่งที่ศิลปะการจัดการทางความคิด เราจะไม่ไปเผชิญหน้าและสู้โดยการพยายามจะกลบความคิดที่เราไม่ต้องการ แต่เราจะต้องเรียนรู้ที่จะจัดการความคิดในทุกส่วนได้อย่างลงตัว และตรงนี้คนที่มีทักษะในการจัดการความคิดที่ดี ก็จะสามารถดูแลใจตัวเอง จัดการตัวเองได้ดี ไปจนถึงสามารถที่จะใช้พลังชีวิตที่มีอยู่ในตัวเองในการเดินหน้าไปสู่จุดหมายได้อย่างยืดหยุ่นรื่นไหล หัวข้อในวันนี้ก็ตั้งใจเขียนไว้เลยว่า สร้างนิสัยคิดบวกในแบบของคุณ แบบของคุณเพื่อให้รู้ว่า อย่าไปเชื่อว่าต้องมีแบบเดียวที่ถูกต้อง เราต้องพัฒนาแบบของเรา และผมก็จะพูดถึงตัวอย่างความเป็นไปได้สัก 3-5 ตัวอย่าง ซึ่งจริงๆ มีวิธีการหลากหลายมากกว่านี้เยอะ แต่เวลาที่มีผมจะยกมาที่ใช้กันบ่อยๆ สัก 3-5 ตัวอย่างเพื่อให้คุณลองเลือก แล้วก็ไปลองใช้ให้เป็นแบบของคุณ โดยผมจะตอบคำถาม 3 ข้อใหญ่ๆ คำถาม 3 ข้อนั้นก็คือ ตกลงนี่คิดบวกนี้มันดีอย่างไร คิดบวกมันเป็นอย่างไรกันแน่ที่ว่าคิดบวก คิดบวก เรื่องนี้มีหลักวิชาการที่ผมพบว่าคนส่วนใหญ่ที่พูดถึงคิดบวกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ งานวิจัยเรื่องคิดบวกนั้นตกลงมันมีรายละเอียดอย่างไร วันนี้ก็จะมาแจงให้ทราบเอามาจากงานวิจัยต้นทางในเรื่องของการมองโลกแง่ดี ซึ่งเป็นงานวิจัยมากกว่า 20 ปี และก็เป็นจุดเริ่มต้นของการจุดกระแสของจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งก็เน้นเรื่องความสุขและศักยภาพคน หลังจากที่วงการจิตเวชและจิตวิทยาเน้นในเรื่องโรคและความเจ็บป่วยมานาน จะว่าไปแล้วแหล่งความรู้ที่พูดถึงเรื่องความสุขและชีวิตกลับมาจากศาสนามานานกว่า เพียงแต่ในศาสนาจะมีคำอธิบายที่ลึกซึ้งแล้วก็มีการผูกโยงกับความเชื่อ ขณะที่วงการวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้นก็ปฏิเสธที่จะไปเทียบเคียงระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ เพราะเขาคิดว่าศาสนาไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับคนที่ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าในศาสนาของตัวเองก็มีคำสอนที่เป็นวิทยาศาสตร์อยู่ ส่วนการมีส่วนผสมในเรื่องของความเชื่อที่คล้ายกับไม่มีหลักวิทยาศาสตร์นี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องให้กาลเวลาเป็นตัวพิสูจน์ อันนี้คือประเด็นที่ 2 คือตกลงคิดบวกตามหลักวิชาการจิตวิทยาตะวันตก มันเป็นอย่างไร แล้ว 3 คือถ้าเราจะสร้างนิสัยคิดบวกในแบบของเรา เราจะทำได้อย่างไร โดยที่ผมใช้คำว่านิสัยขึ้นมาเพราะว่านิสัยมันเป็นเรื่องของความเคยชิน ถ้าเราทำอะไรจนเคยชินมันจะทำได้ง่ายขึ้น แต่เวลาที่เราทำอะไรใหม่ๆ ยังไม่เป็นนิสัยความเคยชิน เราจะยังไม่คล่อง ดังนั้นสิ่งที่เราคุยกันถ้าคุณค้นพบสิ่งใหม่ที่คุณอยากจะนำไปใช้กับชีวิตตัวเองดู ก็ขอให้ทราบว่าถ้าคุณใช้มันใหม่ๆ คุณจะยังไม่คล่องและยังจะเผลอกลับไปอยู่ในรูปแบบเดิม ตรงนั้นก็ไม่ต้องไปหงุดหงิดตัวเอง เป็นเรื่องปกติ เหมือนตอนที่คุณหัดขับรถยนต์ใหม่ๆ หัดขี่จักรยานใหม่ๆ หัดทำอะไรใหม่ๆ ทุกอย่าง คุณจะงุ่มง่าม คุณจะไม่ค่อยคล่องแคล่ว จนกระทั่งคุณได้ฝึกฝนให้นานเพียงพอ คุณก็จะคล่องแคล่วเอง นิสัยทางความคิดของคนก็เหมือนกัน ความคิดของคนมันก็มีเส้นวิ่งของมันที่เราใช้เป็นรูปแบบความเคยชินประจำตัว ซึ่งรูปแบบความเคยชินหรือนิสัยความคิดของเราก็ถูกกำหนดตั้งแต่ระบบชีวภาพของเรา เช่น เราเป็นคนขี้กลัวขี้กังวลไหม ถูกกำหนดตั้งแต่ประสบการณ์ในวัยเด็กของเรา เช่น เราอยู่ในสิ่งแวดล้อม ในบรรยากาศของอารมณ์ ในบ้านเป็นแบบไหน พวกนี้ก็หล่อหลอมให้เราจะเกิดความเคยชินหรือนิสัยทางความคิด และนั่นก็คือต้นทุนของท่านที่ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ชอบ มันก็คือส่วนหนึ่งของตัวท่าน ดังนั้นสิ่งที่เราจะคุยกันเราก็จะดูว่าแล้วเราจะไปต่อยอดกับสิ่งที่เป็นตัวเรา แล้วค่อยพัฒนาตัวเราต่อได้อย่างไร โดยที่การมองแบบต่อยอดนี้ หัวใจสำคัญก็คือ ถ้าสมมติว่าเรากำลังพูดถึงการฝึกคิดบวก แล้วท่านตระหนักว่าตัวเองคิดลบ ก็ขอให้ทราบว่านั้นเป็นก้าวแรกที่สำคัญ เพราะปกติเราไม่ค่อยรู้ตัวว่าเราคิดบวกหรือลบ จนกระทั่งเราหันมาสังเกตดู แล้วก็อย่ารังเกียจความคิดลบของตัวเอง เพราะนั่นคือต้นทุนที่เราสามารถนำมาใช้ได้อยู่ คำถามแรก ตกลงคิดบวกมันดีอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นงานวิจัยที่นำมาจากซีกโลกตะวันตก แต่สอดคล้องกันดีกับข้อสังเกตของคนในซีกโลกตะวันออกที่เป็นภูมิปัญญา เรามีภูมิปัญญาหลายอย่าง ที่อยู่ในพื้นบ้าน อยู่ในสิ่งที่สะสมมาในวัฒนธรรมของเรา ภูมิปัญญาเหล่านี้ก็มีสิ่งสนับสนุนหลายเรื่อง แต่บางเรื่องที่คิดว่าเป็นภูมิปัญญา จริงๆ ก็มีที่เป็นความเชื่อผิดๆ เหมือนกัน ผมจะเริ่มต้นแบบนี้ครับ มีงานวิจัยสรุปได้เลยว่าคิดบวกนั้นโดยรวมแล้วมันดีกว่าความคิดลบ จริง แต่ย้ำอีกครั้ง มันไม่ได้แปลว่าคิดลบไม่มีประโยชน์ คิดบวกมันดีกว่าตรงไหน?
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นตัวบอกว่า คิดบวกเป็นเรื่องดี แต่ย้ำว่าไม่ได้แปลว่าคิดลบไม่ดี เดี๋ยวเราจะมาทำความเข้าใจกันให้ครบถ้วน เวลาที่เรารู้ว่าคิดบวกดี มันไม่ได้แปลว่า เอาล่ะ วันนี้ฉันจะเป็นคนคิดบวก แล้วเราจะเปลี่ยนความคิดได้ซะที่ไหนกัน (มันไม่ได้ง่ายเหมือนเปิด-ปิดสวิตช์ไฟนะจ๊ะ) ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าความคิดของเรา มันไม่ได้ลอยตัวโดดๆ ที่วันหนึ่งเราจะดึงมันออก จะดึงความคิดลบออกแล้วเอาความคิดบวกไปใส่ มันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าเวลาที่เราคิดและทำอะไรซ้ำๆ นั้น นอกจากความเคยชินทางใจแล้ว มันยังมีผลกับโครงสร้างของสมอง งานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า ถ้าเราคิดและทำอะไรซ้ำๆ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องจะใหญ่ขึ้น ยกตัวอย่างที่ถือว่าคลาสสิกที่สุดเลย ก็คืองานวิจัยที่พบว่า คนขับแท็กซี่ในนครลอนดอน พวกเขาต้องจดจำเส้นทางที่ซับซ้อน แล้วต้องรู้ให้ได้ก่อนที่จะสอบ คนเรามีสมองส่วนที่ทำหน้าที่จดจำตำแหน่งแห่งหน พวกเขาจะมีสมองส่วนนี้ใหญ่กว่าคนทั่วไป ซึ่งก็แปลว่าเราใช้และทำอะไรซ้ำๆ วงจรของสมองที่เกี่ยวข้องก็จะหนาตัวและใหญ่ขึ้น เรื่องนี้มีรายละเอียดทางวิชาการ แต่เอาเป็นว่า คุณมีนิสัยอะไรก็ตามอยู่กับตัว คุณจะเปลี่ยนเป็นนิสัยอีกแบบหนึ่งเลยชั่วข้ามคืน มันเป็นไปได้ยากมาก แต่มันมีบางกรณี ประสบการณ์ที่เข้มข้นรุนแรง อาจจะเปลี่ยนตัวเราได้ แต่การเปลี่ยนนี้ มันไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างสมองในทันที แต่มันเกิดจากแรงบันดาลใจที่เข้มข้น ที่ทำให้คุณปรับทำสิ่งใหม่ซ้ำๆ จนกระทั่งโครงสร้างสมองเปลี่ยนแปลงตามได้เหมือนกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว คุณไม่สามารถเปลี่ยนเป็นความคิดบวก แบบเอาล่ะ ฉันจะเอาความคิดลบออก จะเอาความคิดบวกใส่เข้า อันนี้มันทำไม่ได้ ดังนั้นความเชื่อว่าขอให้เราพูดกับตัวเองหน้ากระจก ฉันทำได้ ฉันสวย ฉันจะอารมณ์ดีทั้งวัน วันนี้ฉันจะมีแต่ความสุข ฉันจะคิดบวก งานวิจัยพบว่าพูดแบบนี้กับตัวเองไม่ค่อยได้ผล ดังนั้นถ้าท่านเคยฟังใครก็ตาม ที่เคยแนะนำให้ท่านพูดกับตัวเองต่อหน้ากระจกซ้ำๆ อย่างแรกก็คืออย่าเพิ่งเชื่อว่าวิธีนี้ได้ผล เพราะว่ามันไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่ถ้าท่านอยากรู้ ลองดูก็ได้ครับ เพราะว่ามันมีข้อสรุปอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าได้ลองอย่างน้อยก็พบว่ามันเสียเวลา แต่มีบางคนเหมือนกันที่เขาต้องกระตุ้นตัวเอง แต่โดยสรุปก็คือเราไม่สามารถแค่บอกกับตัวเองว่า วันนี้ฉันจะคิดบวกแล้วฉันจะมีความสุข มันไม่สามารถสั่งแบบนั้นได้นะครับ เพราะว่าลึกๆ แล้วเวลาที่เราพูดกับตัวเองว่า วันนี้ฉันจะคิดบวก วันนี้ฉันจะมีความสุข วันนี้ฉันจะอารมณ์ดี หรือฉันเป็นคนสวย ลึกๆ ในใจเรา มันมีส่วนที่จะปฏิเสธหรือแย้ง เราฟังมันหรือเปล่า ก็มีสมาชิกสองท่านเข้ามาบอกว่า ใช่เลย บางครั้งก็รู้สึกเหมือนหลอกตัวเองหรือเหมือนปลอบตัวเอง มันไม่ใช่ความคิดที่แท้จริง ฉะนั้นเราก็ตระหนักว่ามันมีความคิดมากกว่า 1 ฝ่ายอยู่ในใจของเรา ความคิดที่เราพยายามจะบอกตัวเองว่าฉันสวย ฉันจะต้องอารมณ์ดี มันก็เป็นเพียงหนึ่งความคิด แต่มันไม่ใช่ความคิดทั้งหมดที่วิ่งในหัวของเรา เพราะความคิดที่วิ่งในหัวของเรามีได้เยอะแยะ ดังนั้นนี่คือข้อสรุปข้อที่หนึ่ง ความคิดบวกเป็นเรื่องดี แต่อย่าคาดหวังว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเอง แบบถอดตัวเก่าใส่ตัวใหม่เข้าไป เอาล่ะ ตอนนี้ผมจะมาเข้าหัวข้อที่เป็นวิชาการมากขึ้นหน่อย ก็คือว่า เอ๊ะ แล้วคิดบวกนี้มันเป็นอย่างไร?เรื่องนี้อธิบายสั้นๆ จากผลงานวิจัย 20 กว่าปี สรุปก็คือ ความคิดบวกหรือลบนั้นเป็นวิธีอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แล้วก็อธิบายประสบการณ์ของตัวเรา เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างนะครับ แต่ว่านั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์เราเวลาเกิดอะไรขึ้น เราพยายามจะทำความเข้าใจความเป็นไป เข้าใจความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต มันเป็นความต้องการพื้นฐาน ว่า เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น มันเป็นจากอะไร เราจะพยายามทำความอธิบายขึ้นมา และคำอธิบายมันก็ถูกบ้างผิดบ้าง ปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในหัวนั้น เป็นสิ่งถูก และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของปัญหา เวลาที่มีเหตุการณ์ลบเกิดขึ้น อะไรก็ได้ คนคิดบวกกับคิดลบจะมีคำอธิบายที่แตกต่างกัน ซึ่งในเรื่องนี้งานวิจัยได้จับกฎเกณฑ์ได้ 3 ข้อ ผมจะลองยกตัวอย่างให้ดูจากกรณีที่ผมมักจะใช้เป็นตัวอย่างเวลาผมไปสอนเรื่องความคิดบวก ตัวอย่างนี้ก็คือ เลิกกับแฟน เลิกกับแฟนเป็นเหตุการณ์ภายนอก ถ้าคิดบวกเขาจะมองแบบนี้ เลิกกันเพราะเราไม่ใช่สไตล์ของเขา หรือบางคนอาจจะบอกว่าเราไม่มีวาสนาต่อกัน เดี๋ยวหาใหม่ได้ ดีเหมือนกันเราจะได้หันมาดูแลตัวเอง จะออกกำลังกาย จะฟิตหุ่น จะให้เวลาดูแลพ่อแม่ให้มากขึ้น นี่คือความคิดที่วิ่งอยู่ในหัวของคนคิดบวก คราวนี้ลองมาดูความคิดที่วิ่งในหัวของคนคิดลบ เขาจะอธิบายเหตุการณ์ภายนอกก็คือ เลิกกับแฟน ข้างในใจคนละแบบกัน เขาก็จะอธิบายว่า เป็นเพราะฉันไม่ดีพอสำหรับเธอ คนอื่นเขาดีกว่าฉัน ฉันมีข้อไม่ดี 1 2 3 4 เราคงไม่มีโอกาสจะมีใครในชีวิตนี้อีกแล้ว ฉันคงจะต้องอยู่คนเดียวตลอดไป และชีวิตนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ถ้าคุณจับทันนะครับ ภายใต้ความคิด 2 ชุดนี้ มันมีอยู่ด้วยกัน 3 องค์ประกอบ
ความคิดบวกและลบจะแยกกันด้วยคุณสมบัติ 3 มิติ หนึ่ง เรามองตัวเองอย่างไร เราเก่งขึ้นได้ไหม เราดีขึ้นได้ไหม ข้อนี้ถ้าจะแปลงเป็นวิธีปฏิบัติก็คือ ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้บ้าง? เพราะถ้าเราถามแบบนี้เราจะคิดถึงสิ่งที่จะทำให้เราดีขึ้นได้ในคราวหน้า ท่านที่รู้ตัวว่ามักจะเผลอต่อว่าตัวเอง ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเรียนรู้อะไร หรือเราได้บทเรียนอะไรจากคราวนี้บ้าง ให้ระวังนะครับ เวลาท่านได้บทเรียนอะไร อย่าไปตอบว่า เพราะเรามันโง่ เพราะเรามันไม่สวย ตอบแบบนี้มันกลายเป็นกลับไปอยู่ในร่องเดิม ท่านไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าบทเรียนคืออะไร เราจะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ยังไงในคราวหน้า อันนั้นคือคิดแล้วมีความหวัง เป็นความคิดบวก สองก็คือในมิติของเวลา ง่ายๆ เลยนะครับ ให้มีคาถาประจำตัวว่า แล้วมันจะผ่านไป หรือท่านอาจจะถามว่าเรื่องนี้จะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน? เพื่อท่านจะได้เห็นว่ามันมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หรือมันมีความหวังที่สิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นได้ เมื่อพ้นระยะที่เราได้รับผลกระทบของเรื่องลบนั้น คือมันเห็นชีวิตที่รื่นไหล เพราะไม่มีอะไรอยู่แน่นอนแน่นิ่ง อันนี้คือคิดบวก ใช้คาถาว่า แล้วมันจะผ่านไป หรือตั้งคำถามว่า มันจะอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน? เราต้องการเวลานานแค่ไหนแล้วเราจะได้เดินหน้าต่อได้ สาม ในแง่ของประตูที่ปิดกับประตูที่เปิด ให้ถามว่าประตูบานนี้ปิดลงแล้ว มีโอกาสอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตของฉันได้บ้าง? 3 คำถาม ก็จะเป็น 3 วิธีที่จะช่วยท่านไม่ติดล็อคกับความคิดที่ติดลบ อันนี้เป็นหลักวิชาการ 3 ลักษณะ แต่คำถาม 3 ข้อนั้นผมตั้งต่อให้เองนะครับ คราวนี้คุณสังเกตไหมว่า ความคิดบวก ถ้าเราคิดแบบหนึ่ง ชุดหนึ่งมันจะส่งผลต่ออารมณ์ของเรา เช่น เวลาเราเลิกกับแฟน เราก็จะบอก เอ่อ เป็นเพราะว่าเราไม่ใช่สเปคเขา มันไม่ได้เกี่ยวกับความบกพร่องในตัวเรา หรือเราอาจจะมีข้อเสียบางอย่าง เดี๋ยวเราจะทำให้ดีขึ้น คิดแบบนี้มันทำให้เรามีกำลังใจ หรือเราบอกว่า เอ่อ เดี๋ยวเราก็คงมีคนใหม่ ทำให้เรามีความหวัง ถ้าประตูนี้ปิดลง ยังมีโอกาสอื่น เช่น เราจะกลับมาฟิตหุ่น เราจะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ อันนี้คืออะไร อันนี้คือทำให้เกิดเป้าหมาย ฉะนั้นการคิดบวก มันจึงส่งผลต่อจิตใจของเรา เพราะมันทำให้เกิดจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมาย ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ ทำให้เรามองเห็นสัจธรรมในเหตุการณ์ลบ ขณะที่ถ้าคิดลบซ้ำๆ เวลาเลิกกับแฟน ฉันคงไม่ดีพอสำหรับเธอ ฉันมันโน่น ฉันมันนี่ ชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว ฉันจะต้องอยู่คนเดียวตลอดไป ถ้าคิดวนคิดวนแบบนี้ จิตตก หลายคนคิดลบเป็นนิสัย ก็จะมีอาการเศร้าตามมา เพราะเขาจะรู้สึกตัวเองไม่ดี อันนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างวิธีคิดกับอารมณ์ของคนเรา นั่นเป็นเหตุที่เราบอกว่าคิดบวกดีจริง แต่ ผมย้ำแต่เสมอ แต่ไม่ได้แปลว่าความคิดลบไม่ดี มันเป็นเพียงวิธีที่เราอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตแตกต่างกัน มันเป็นเพียงนิสัยความเคยชินในการมองโลก มองสิ่งต่างๆ ของเรา ซึ่งถูกหล่อหลอมมานาน ถ้าเราจะเปลี่ยนเราต้องค่อยๆ ทำมัน วันละนิด วันละนิด ให้เป็นประจำ แต่ความยากของเรื่องนี้ก็คือแบบนี้ครับ ความยากของเรื่องนี้เกิดจาก 2 ประเด็นใหญ่ๆ ประเด็นแรก ก็คือ พอเราคิดลบ แล้วเราคิดว่าความคิดลบไม่ดี แล้วเราก็ต่อว่าตัวเอง เราก็ยิ่งแย่ใหญ่เลย อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ในใจ แล้วมันทำให้เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้ ทักษะในการรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ แล้วเปลี่ยนความคิดได้ คือหัวใจของการเปลี่ยน แล้วสร้างนิสัยคิดบวกในแบบของคุณ ซึ่งส่วนที่สามที่เราจะคุยกันนั้น ก็คือ การสร้างนิสัยคิดบวกในแบบของคุณ แต่มันต้องเริ่มต้นจากการมีทักษะในการรู้ว่าเรากำลังคิดอะไรแล้วเลือกความคิดได้ ซึ่งถ้าท่านจำได้ตอนที่ผมพูดก่อนหน้านี้ผมจะพูดถึงว่า จะต้องสามารถพักความคิดเป็น ถอยมาดูความคิดได้ แล้วก็เลือกความคิดที่เป็นประโยชน์ ให้เหมาะสมออกมา ซึ่งตรงนี้การคิดบวกจึงต้องอาศัยทักษะทางความคิดที่ฝึกฝน และนั่นเป็นเหตุหนึ่งที่คนเราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดชุดเดิมเป็นความคิดบวกได้ในทันที เพราะว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดทักษะตัวนี้ วันนี้จะเอาเคล็ดที่หวังว่าจะใช้ได้มาคุยกันก่อน ผมมีข้อมูลอีกชิ้นหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ว่าด้วยเรื่องความคิด ซึ่งเป็นหนังสือเก่า ผมอ่านเมื่อประมาณสัก 20 กว่าปีก่อน ซื้อมาเพราะรู้สึกว่าเป็นชื่อหนังสือที่น่าสนใจ สมัยนั้นผมยังดู bbc ภาคภาษาอังกฤษ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นตอนที่ไปเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ติดนิสัยดู bbc แล้วก็มีหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในโฆษณาของรายการ bbc หนังสือเล่มนั้นแปลเป็นไทยได้ว่า หมวกความคิด 6 ใบ Six Thinking Hats by Edward De Bono ผมอ่านเล่มนี้แล้วไม่ได้ชอบนะครับ เพราะมันไม่ได้สนุก แต่ผมคิดว่าสาระสำคัญของเล่มนี้อยู่ตรงที่ เดอ โบโน่ ได้เสนอว่าเราสามารถใช้ความคิด 6 แบบในการทำงานและการดำเนินชีวิต และในการประชุมเราสามารถเลือกได้ว่าตอนนี้เราจะประชุมกันโดยใช้ความคิดแบบไหน ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีแปลงความคิดที่เป็นนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการบรรยายเป็นหมวก 6 สีได้ค่อนข้างฉลาด แต่ในทางปฏิบัติมันไม่มีความซับซ้อนอะไรมาก เพียงแต่เราต้องฝึกความคิดทั้ง 6 วิธีให้ได้ ผมจะลองไล่ดู เพื่อให้คุณรู้ว่า ความคิดลบเป็น 1 ใน 6 แบบ
ถ้าคุณฟังแบบนี้คุณก็คงจะเห็นว่า ที่จริงแล้วความคิดบวกหรือลบ มันไม่ได้เป็นตัวเสียโดยตัวมันเอง แต่มันอยู่ตรงว่าเราหยิบมาใช้ในสถานการณ์ไหน หัวใจสำคัญก็คือ เราต้องรู้ว่าเรากำลังคิดด้วยวิธีไหนอยู่ แล้วหยิบชุดความคิดที่เป็นประโยชน์กับสถานการณ์นั้นมาใช้ หลายๆ ครั้งการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ หรือเรื่องสำคัญของชีวิต เราต้องใช้วิธีคิดทุกแบบ เพราะถ้าคุณคิดแต่ด้านบวกอย่างเดียว คุณอาจจะลงทุนแล้วก็เจ๊งโบ๊ง เพราะคุณคิดแต่ว่าทุกอย่างจะดี ซึ่งก็เจอบ่อยในกลุ่มคนที่เป็นผู้ประกอบการมือใหม่ เพราะถ้าเขาไม่ได้คิดในแง่ว่า ถ้าเกิดมันไม่สำเร็จอย่างที่เราคิดล่ะ มันจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นคนที่คิดลบเป็นก็จะรอบคอบ คนที่คิดบวกได้ก็จะเห็นความเป็นไปได้ คนที่คิดด้วยความรู้สึกก็จะเข้าถึงจิตใจในส่วนลึก คนที่คิดด้วยข้อมูลและเหตุผลก็จะมีหลักฐานมาประกอบความคิดของตัวเอง ทุกๆ ความคิดรวมถึงความคิดสร้างสรรค์ ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น และเราควรจะเรียนรู้ที่จะฝึกความคิดในทุกรูปแบบ เอาล่ะครับ คราวนี้ก็จะเข้าสู่เรื่องของการคิด ว่าเราจะสร้างนิสัยคิดบวกได้อย่างไร ก่อนที่ผมจะลงเนื้อหาตรงนี้ ผมจะลองดูว่ามีคำถามอะไร ทักทายกันเข้ามา ผู้ฟัง: ถ้ามีคนคิดบวกให้ตัวเองไปโทษคนอื่น มีคำแนะนำเพิ่มไหม? การโทษคนอื่นเป็นการยกอำนาจให้กับเขา ว่าเขามีอำนาจในการควบคุมสถานการณ์ ผู้ฟัง: ถ้ามีเพื่อนร่วมงานคิดลบตลอดเวลาควรทำอย่างไร? อย่างแรกก็คือให้รู้ว่า เขาไม่ได้มีความสุขกับการคิดลบ เรารับรู้ตรงนี้เพื่อให้เห็นใจ เข้าใจเขาก่อน ถ้าคุณสนิทหรืออยากจะช่วยเขา ก็เป็นคนรับฟังที่ดี โดยมีข้อจำกัดว่าอย่าเอาตัวเองไปจมกับความคิดเขาด้วย เพราะความคิดและอารมณ์มันส่งผ่านกันได้ แต่คุณสามารถช่วยเขาได้ด้วยการทำให้เขาตระหนักในความคิดของตัวเอง แล้วเห็นผลตามมาว่าคิดแบบนี้แล้วมันจะพาเขาไปไหน เราคุยแบบนี้ได้ แต่คุณพูดกับเขาแบบนี้ไม่ได้นะครับ วิธีหนึ่งก็คือชวนเขามาดู Live ของผมในตอน วิธีจัดการความกังวล อันนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด คือเป็นการแบ่งปันความรู้และแหล่งความรู้ ผู้ฟัง: เราได้บทเรียนอะไรจากเรื่องนี้? การตั้งคำถามช่วยอะไรเรา? การตั้งคำถามจะกำหนดวิธีคิดของคนเรา เราฝึกตั้งคำถามดีๆ ให้กับตัวเอง มันจะช่วยชี้นำ หรือนำร่องความคิดให้แก่เรา ผู้ฟัง: อยู่ใกล้คนคิดบวกทำให้เราคิดบวกด้วย ใช่เลยครับ มันเป็นบรรยากาศที่ส่งผ่านถึงกัน ผู้ฟัง: คนคิดลบที่ไม่รู้ตัว และไม่ยอมรับว่าตัวเองคิดลบ ทำอย่างไร? คือต้องดูว่าความคิดลบมาสร้างปัญหาอะไรให้กับเรา ถ้าเขาไม่ใช้คนสนิทอะไรในวงในของเรา จริงๆ มันก็เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าถ้าเขาเป็นคนที่เราเลี่ยงไม่ได้ ต้องอยู่กับเขา แล้วเราชวนเขาให้ตระหนักแล้ว เขายังไม่สนใจ ชวนเขามาดู Live ผม ก็ยังไม่มาดู ถึงตรงนั้นก็ต้องเรียนรู้ว่าเราจะดูแลตัวเราอย่างไร หากเราต้องไปเกี่ยวข้องกับเขา ผู้ฟัง: เขาคิดลบ ลบมากจนกระทบใจเรา คือเวลาที่ความคิดเขามากระทบใจเราได้ แสดงว่าใจเรามีความคาดหวังบางอย่างให้เขาไม่คิดลบแบบนั้น คำถามสำคัญ ก็คือ ระดับความสามารถที่เราจะไปควบคุมความคิดเขาให้บวก จะมีมากแค่ไหน เนื่องจากตัวเขาเองยังควบคุมความคิดเขาไม่ได้เลย ดังนั้นหัวใจสำคัญ ก็คือ ถ้าเราช่วยเขาไม่ได้ในการให้เขาพัฒนาตัวเอง ผ่านการยื่นสิ่งดีๆ ให้ เช่น แหล่งความรู้ อีกอย่างหนึ่งที่จะชวนเขาได้ก็คือ ชวนเขาฝึกออกกำลังกาย ฝึกหายใจ มันจะทำให้เขาพักความคิดได้บ้าง ที่เหลือเป็นการดูแลใจตัวเราจะสำคัญกว่า ผมจะใช้เวลาที่เหลือเข้าเรื่องว่า ถ้าเราจะเปลี่ยนความคิดของเราในรูปแบบเดิม ให้กลายเป็นความคิดบวกมากขึ้น เราจะทำได้อย่างไรผมได้เกริ่นไปแล้วว่า วิธีตั้งคำถามให้กับตัวเองจะเป็นการกำหนดความคิดของเรา เช่น ถ้าเราถามตัวเองว่า เรื่องนี้เราได้บทเรียนอะไร? เราก็จะคิดตามคำถามนั้นว่า มันมีบทเรียนอะไรให้เรา เรื่องนี้มีสิ่งอะไรดีๆ แฝงมาบ้าง? เราก็จะมองหาแง่ดี เหมือนอย่างกิจกรรมที่ผมแนะนำให้ทำประจำก็คือ วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต 5 อย่าง? การตั้งคำถามที่ดี จะเป็นตัวช่วยกำหนดเส้นทางความคิดเส้นใหม่ เราจึงตั้งคำถามเป็นประจำอยู่เรื่อยๆ การที่เราจะทำแบบนี้ได้ก็คือ เราจะต้องเริ่มต้นฝึกพักความคิดผ่านการฝึกร่างกาย เช่น ออกกำลังกาย ฝึกหายใจ ฝึกชี่กง ไทเก็ก โยคะ สมาธิ พวกนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เราจิตสงบว่างลง ซึ่งจะทำให้เราเริ่มรู้ทันความคิดได้ดีขึ้น ผมประสบกับเรื่องนี้โดยตรงเมื่อไปเข้าหลักสูตรปฏิบัติธรรมครั้งแรก ถึงได้รู้ว่า โอโห้ ในหัวเรานั้นมีความคิดวิ่งตลอดเวลา เราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อท่านสงบใจของท่านลง ท่านจะเห็นความคิดวิ่งวุ่นอยู่ตลอด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เมื่อคุณพักความคิดได้ คุณถอยมาดู คุณจะไม่จมไปกับความคิด แล้วคุณถึงจะใช้เทคนิคต่อไปนี้ได้ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือการเลือกความคิดหรือเลือกเส้นทางความคิดที่ดีกว่า
อันนี้เป็นกรณีคิดลบและก็ชัดเจนด้วย เราถามว่า เอากรณีเจ้านายที่เราคิดว่าจะให้เราออกก็ได้นะ ถามว่า สิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้คืออะไรจากเหตุการณ์นี้? เราทำอะไรได้บ้างในการป้องกันมัน? แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริงเราจะทำอะไรได้บ้าง? อันนี้เป็นชุดที่หนึ่ง เช่น สมมติว่าเรากำลังสงสัยว่าเจ้านายจะไล่เราออก สิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้คืออะไร? ก็คือ เจ้านายไล่เราออก เราจะป้องกันอะไรได้ไหม? เราก็ลองมาทบทวนดูว่า เรามีอะไรบกพร่องในงานแล้วเราก็ลงมือทำตรงนั้น หรือถ้าเราอยากจะคุยกับเจ้านายเราก็ไปขอคุยด้วยเลย ดีกว่าเราจมอยู่กับความคิดตัวเอง แล้วเราทำอะไรได้บ้างถ้าเจ้านายไล่เราออกจริงๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องของการวางแผน รับมือถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ อีกคำถามหนึ่งครับ ในเรื่องนี้จะมีสิ่งดีๆ อะไรเกิดขึ้นได้บ้าง และอะไรจะเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุด อันแรกมันเป็นการคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario) เพื่อให้เรามองเห็นมัน ว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้นยังไงได้บ้าง อันที่สองเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะเกิดสิ่งดีๆ (Best Case Scenario) แล้วอันที่สามก็คือโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นมากที่สุดจะเป็นแบบไหน (Most Likely Scenario) วิธีคิดแบบนี้ทำให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะมีทั้งบวกและลบ กับที่มันผสมปนทั้งบวกและลบ เพื่อเราจะได้เตรียมการทั้ง 3 กรณี ซึ่งเป็นวิธีคิดที่เรียกว่าเป็นวิธีคิดแบบ Scenario คือ สมมติสถานการณ์ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง แล้วเราก็ออกแบบตัวเราเพื่อเตรียมการจัดการได้ทุกสถานการณ์ ถ้ามันเป็นร้ายที่สุดเรามีแผนสำรองแล้ว ถ้ามันเป็นดีที่สุดเราพร้อมจะลุยแล้ว ถ้ามันออกมาแบบผสมกัน เราก็มีความพร้อมในการเตรียมรับมือ คุณเห็นไหมครับว่าเวลาที่เราคิดแบบนี้ มันทำให้เรามั่นใจขึ้นว่าเราจะจัดการกับสถานการณ์ได้ แต่แน่นอน Worst Case Scenario นั้นเราไม่ได้คิดเฉยๆ ถ้ามันมีโอกาสเกิดขึ้น คุณจะต้องมีแผนรับมือให้ดี เพราะว่านั่นเป็นความรอบคอบในชีวิตของคุณ และนั่นคือจุดดีของความคิดลบ ลองดูอีกวิธีหนึ่ง ก็คือว่า คุณตรวจดูความคิดหลากหลาย แล้วคุณก็ลองถามตัวเองดูว่า ความคิดไหนจะพาคุณไปสู่จุดหมายของคุณได้ดีกว่ากัน ถ้าคุณเชื่อความคิดชุด A คุณจะเดินหน้าต่อไปสู่จุดหมายได้ดีไหม ถ้าคุณเชื่อความคิดชุด B มันจะพาคุณไปสู่จุดหมายได้ดีไหม แล้วเลือกนำความคิดที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เอามาใช้ วิธีเลือกความคิดนี้เกิดขึ้นได้เมื่อคุณมีความคิดหลายชุดในหัวของตัวเอง อย่าลืมว่า คุณต้องถอยมา ไม่ยึดความคิดชุดเดียวโดยเฉพาะความคิดลบ แล้วมีความคิดหลากหลายคำอธิบาย จากนั้นค่อยดูว่าคุณจะเอาความคิดไหนไปใช้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้แปลว่าคุณเป็นเจ้าของความคิดคุณ คุณเลือกใช้มัน แต่ถ้าคุณคิดโดยไม่รู้ตัว คุณจะเป็นทาสของความคิดตัวเอง แล้วคุณจะถูกความเคยชินเดิมๆ สร้างวงจรที่จมปลักอยู่กับรูปแบบเดิมๆ แม้ว่าคุณไม่ต้องการ แต่ถ้าคุณยังไม่ตระหนักในความคิด คุณก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของคุณได้ มีตัวอย่างอีกเยอะ แต่ในเวลาที่มีผมจำเป็นต้องสรุปรวบยอดล่ะ หัวใจสำคัญคืออย่างนี้ครับ ไม่ว่าคุณจะคิดแบบไหนก็ตาม ถึงที่สุดแล้วคุณต้องมีแผนการลงมือทำ เพราะคนเราเวลาคิดนั้น มันอยู่ในโลกของจินตนาการ แต่เวลาที่คุณได้ลงมือทำคุณได้ทดสอบกับโลกของความเป็นจริง การลงมือทำนี้อาจจะหมายถึงการขอพูดคุยกับคนที่คุณไม่แน่ใจในเจตนาของเขาหรือการลงมือทำอะไรก็ตาม เพราะมันเป็นการทดสอบความคิดที่ดีที่สุด แล้วเมื่อคุณได้ลงมือทำ คุณจะมีนิสัยของการลงมือทำมากขึ้น ก็จะทำให้คุณไม่มีนิสัยจมอยู่กับความคิดตัวเอง คนที่มีนิสัยลงมือทำจะเป็นคนที่มีความกังวลน้อยลงและเป็นการเรียนรู้โลกมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะมีนิสัยลงมือทำ ถ้าเขามีความคิดดีๆ เขาก็ต้องมีการทดสอบความคิดของตัวเอง วันนี้ที่ได้คุยกันผมหวังว่ามันจะเป็นก้าวแรกๆ ถ้าคุณต้องการสร้างนิสัยคิดบวกในใจคุณ คุณรู้จักความคิดบวกแล้ว และคุณก็เห็นแล้วว่าหัวใจของมันก็คือ เราต้องรู้ทันความคิด แล้วก็สร้างทางเลือกของคำอธิบายให้หลากหลาย โดยการใช้คำถามที่ถูกต้อง จากนั้นคุณก็สามารถเลือกความคิดที่จะพาคุณไปสู่เป้าหมายของคุณได้ดีขึ้น แต่ในระหว่างนี้คุณยังต้องการเรียนรู้การจัดการอารมณ์ความคิดที่มันรบกวนใจคุณ เช่น ความคิดวนติดอยู่กับความคิดลบ ตัวนั้นวิธีดีที่สุดก็คือกลับไปฝึกที่ฐานของร่างกายตัวเรา ออกกำลังกาย นอนพัก กินอาหารให้ดี ฝึกหายใจและศาสตร์ผ่อนคลาย ด้วยวิธีการเหล่านี้คุณก็จะสามารถสร้างนิสัยคิดบวกในแบบของคุณ ผู้ฟัง: จมกับความคิดตัวเอง ผิดตรงฉัน ผิดตรงเขา แก้ไขอย่างไร?
ต้องถอยความคิดออกมาให้ได้ก่อน ด้วยการพักความคิด แล้วจึงถอยความคิด แล้วจึงสร้างทางเลือกของความคิด เพื่อทำให้เกิดความคิดที่ยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งตรงนี้ ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มเช่นนี้ ต้องจัดเวลาออกกำลังกาย และฝึกฐานกายต่างๆ ศาสตร์ของการผ่อนคลายที่ผมใส่อยู่ในโปรแกรมอบรมทุกโปรแกรมก็เพราะว่ามันเป็นฐานของการเขย่า เพื่อให้เราเห็นตัวเองมากขึ้น สร้างนิสัยคิดบวกในแบบของคุณ ย้ำว่าคุณไม่ต้องรังเกียจความคิดลบ ขอให้เลือกใช้ให้เป็นประโยชน์ และเพียงเราฝึกคิดหลายๆ แบบ ด้วยการตั้งคำถามหลายๆ แง่ และฝึกรู้ทันความคิด แล้วเริ่มฝึกเป็นเจ้านายความคิดของตัวเรา เป็นเจ้าของความคิดของตัวเอง ไม่ปล่อยให้ความคิดมาลากเราไปตามความเคยชิน ด้วยวิธีนี้คุณก็จะสามารถเพิ่มความคิดบวกขึ้นมาในหัวของคุณได้ แต่จะให้ดีก็คือเก็บความคิดลบไว้ใช้ประโยชน์ด้วย เก็บความคิดในรูปแบบอื่นเหมือนในตัวอย่าง 6 รูปแบบความคิดนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย สำหรับคืนวันนี้ก็ขอให้ทุกท่านหลับฝันดี และสามารถที่จะเริ่มต้นฝึกภาคปฏิบัติในการเติมความคิดบวกตามขั้นตอน มีความคืบหน้าอย่างไร มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ ผมยินดีรับฟังความคืบหน้าและโจทย์ท้าทายของทุกท่าน สำหรับคืนนี้ ขอสวัสดีทุกคนนะครับ
0 Comments
Leave a Reply. |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
December 2019
Categories |