ฉันดีกว่าเดิม
มุ่งสร้างนิสัยเชิงบวก
หมั่นพัฒนาตนเอง
เน้นความสุขและศักยภาพคน
คนเรา 'สามารถ' เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้เสมอ
มุ่งสร้างนิสัยเชิงบวก
หมั่นพัฒนาตนเอง
เน้นความสุขและศักยภาพคน
คนเรา 'สามารถ' เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้เสมอ
What is Deep Listening? By Joe Bailey (Licensed Psychologist) http://www.selfgrowth.com/articles/what_is_deep_listening.html ใส่ใจรับฟัง / ฟังอย่างลึกซึ้ง / ตั้งใจฟัง คืออะไร?“ตอบสนองต่ออารมณ์ให้ช้าลง แล้วจะพบความรักเร็วขึ้น”
ฟังอย่างลึกซึ้งจะเกิดขึ้นเมื่อจิตใจของคุณเงียบสงบ สุขุม ไตร่ตรอง ความคิดของคุณไหลรื่นอ่อนโยน และมิได้กำลังถูกรบกวนหรือถูกทำให้ไขว้เขวโดยสิ่งลวงใจ อาทิ การตีความ การตัดสินว่ามีค่า/ด้อยค่า ความใจเร็วด่วนสรุป หรือสมมติฐานคิดเองเออเอง เมื่อคุณตั้งใจฟัง จิตใจของคุณจะเมตตาเปิดกว้างให้กับทุกสิ่ง สนใจใคร่รู้ –ราวกับว่าคุณเพิ่งได้ยินคนคนนี้พูดเป็นครั้งแรก การใส่ใจรับฟังใช้ได้ดีเมื่อคุณกำลังสื่อสารกับอีกคน แต่ความดี๊ดีของการตั้งใจฟังไม่ใช่แค่นั้น การฟังอย่างลึกซึ้งยังใช้ได้ผลดีเมื่อคุณกำลังฟังตัวเอง ฟังชีวิต ฟังความเป็นมนุษย์ เป้าหมายของการใส่ใจรับฟังคือ คุณได้ยินความลึกล้ำเหนือถ้อยคำของอีกคนหรือเหนือคำพูดของคุณเอง คุณกำลังฟังว่าคำพูดและความรู้สึกกำลังบ่งบอกถึงสาระสำคัญใด จิตใจและความรู้สึกของคุณถูกผนวกเข้าด้วยกัน –คุณกำลังเต็มใจรับฟัง
0 Comments
Science Says Lasting Relationships Come Down To 2 Basic Traits Credit : EMILY ESFAHANI SMITH, The Atlantic http://www.businessinsider.com/lasting-relationships-rely-on-2-traits-2014-11 คู่รักส่วนใหญ่ มีระดับความพึงพอใจต่อกันลดลงฮวบฮาบในช่วงไม่กี่ปีแรก แต่ท่ามกลางคู่ร้างมากมาย ก็มีบางคู่ที่อยู่รอดและได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างมีความสุขยาวนานปีแล้วปีเล่า "ความเอื้ออารี" และ "ใส่ใจรับฟัง" ผูกพันคู่รักไว้ และนำพาทั้งคู่เดินไปด้วยกัน
วิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ยั่งยืนอาศัย 2 ปัจจัยพื้นฐาน คุณลองเดาดู –เอื้ออารี และ ใส่ใจรับฟัง ทุกวันของเดือนมิถุนายน เดือนสละโสดประจำปี ประมาณ 13,000 คู่รักอเมริกัน เข้าพิธีวิวาห์ อบอวลไปด้วยมิตรภาพ ความรักชื่นมื่น ความรู้สึกมีกันและกันจะพาพวกเขาจับมือเผชิญสิ่งต่างๆ ด้วยกัน จวบจนวันสุดท้ายบนโลกนี้ แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ได้สมหวังกันทุกคู่นะคะ ชีวิตแต่งงานพบความล้มเหลวมากกว่าสมหวัง ถ้าไม่จบลงที่หย่าร้าง แยกกันอยู่ ก็อาจจะเฉยชาต่อกัน หรือทนอยู่ด้วยความขมขื่น จากคู่แต่งงานทั้งหมด มีเพียง 3 ใน 10 เท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตแต่งงานอบอุ่นสุขใจ จากหนังสือ The Science of Happily Ever After ของนักจิตวิทยา Ty Tashiro นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษา สังเกตพฤติกรรมของคู่แต่งงานครั้งแรกช่วงทศวรรษ 1970 การศึกษาเกิดขึ้นมาตอบสนองวิกฤต: คู่สมรสมีอัตราการหย่าร้างสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และมีความกังวลว่าการหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยกจะส่งผลกระทบต่อเด็กๆ นักจิตวิทยาจึงตัดสินใจคัดเลือกคู่สมรสมาวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ พาพวกเขาเข้าแลปและคอยสังเกตพวกเขา เพื่อหาปัจจัยที่ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงยั่งยืน |
AuthorWrite something about yourself. No need to be fancy, just an overview. Archives
December 2019
Categories |